เด็กชายญี่ปุ่นวัย 14 โหด ปาดคอเด็กหญิงป.6 บอกทำเพราะอยากฆ่าคน

เด็กชายญี่ปุ่นวัย 14 โหด ปาดคอเด็กหญิงป.6 บอกทำเพราะอยากฆ่าคน

วานนี้ (13 พ.ย.) ที่ผ่านมา เกิดเหตุ เด็กชายชาวญี่ปุ่นอายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้ของมีคมปาดคอเด็กหญิงป.6 ขณะที่เด็กหญิงกำลังเดินกลับบ้านในเมืองฮาชิโนะเฮ ของจังหวัดอาโอโมริ เมื่อช่วงบ่ายวันอังคารที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนเด็กชายรายดังกล่าวจะวิ่งหนีไปจากจุดเกิดเหตุ

ตำรวจท้องถิ่นเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 16.30 น. 

โดยเด็กหญิงให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า มีคนเข้ามาข้างหลังเธอแล้วใช้มีดปาดคอเธอจากนั้นจึงวิ่งหนีไป แต่เคราะห์ดีที่เด็กหญิงสามารถเดินกลับถึงบ้านได้สำเร็จ จากนั้นพ่อและแม่ก็ได้แจ้งความกับทางตำรวจไว้

เด็กหญิงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยมีแผลจากของมีคมยาวประมาณ 10 ซม.และลึก 1 ซม.ที่คอ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ต่อมา ตำรวจสามารถจับกุมตัวเด็กชายวัย 14 ปี ผู้ก่อเหตุได้ที่บ้านของเด็กชายเอง โดยตำรวจพบมีดจำนวนมากในห้องของเด็กชาย ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่า ตนก่อเหตุทำร้ายเด็กหญิงป.6 ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนจริง และอ้างว่าตั้งใจจะฆ่าให้ตาย และยังระบุด้วยว่า ต้องการสังหารใครสักคนโดยไม่สนว่าเป็นใคร

วันนี้ (13 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้มีการแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดเป็นยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 1 ตัน ที่บรรทุกมาในรถยี่ห้อ อีซูซุ จำนวน 2 คัน และยาบ้าอีก 1 ล้านเม็ด และ คีตามีน น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม โดยแยกเป็นสองคดี

คดีแรกมีผู้ต้องหา 2 คนคือ นายเกรียงไกร เพชรจันทรังษี อายุ 22 ปี และ นายวรชุน แซ่ว่าง อายุ 21 ปี สามารถจับได้ที่บริเวณหน้าตลาดเขาทราย แยกเขาทราย ทับคล้อ ถนนหมายเลข 11 ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร หลังพบว่า ผู้ต้องหาลำเลียงยาเสพติดจากนายทุนพ่อค้ายาเสพติด และจะรับยาจากพื้นที่ทางภาคเหนือตอนบน ก่อนจะส่งมอบให้กับลูกค้าทางภาคกลาง โดยพบว่ายาไอซ์ถูกบรรจุอยู่ที่ท้ายรถและซุกซ่อนในกระสอบปุ๋ยสีเหลือง

อีกคดี ผู้ต้องหาคือ นายคม แซ่หลี อายุ 35 ปี เชื้อชาติม้ง สัญชาติ เมียนมา โดยจับได้บริเวณพื้นที่นาข้าว ต.วังงิ้วใต้ อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร หลังจากจับกุมแล้วได้สอบสวนขยายผล และพบว่าเป็นเครือข่ายผู้ลำเลียงกลุ่มเดียวกับ นายกิตติภพ อรรถพลภูษิต และนายทรงยศ แซ่ซ้อง ซึ่งถูกจับกุมไปเมื่อ วันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา พร้อมของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 1 ล้านเม็ด และเคตามีน น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิษณุโลก

ในส่วนของคดีของ นายคม นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สามารถตรวจยึดยาเสพติดที่ซุกซ่อนไปทางพัสดุคือ นาฬิกาแบบแขวน 2 เรือน ซึ่งส่งระหว่างประเทศ ปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่น ด้านในเป็นยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม โดยสามารถตรวจยึดได้ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง

จากการสืบสวนพบว่า จะมีการลักลอบส่งยาเสพติดไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยจะส่งเป็นลักษณะพัสดุภัณฑ์ผ่านบริษัทพัสดุระหว่างประเทศจำนวน 2 รายการ เมื่อตรวจดูพบว่าเป็นนาฬิกาแขวนผนัง แต่พบว่ามีน้ำหนักผิดปกติ เมื่อตรวจสอบนาฬิกาแขวนผนังดังกล่าวโดยละเอียดพบว่า บริเวณกรอบนาฬิกามีท่อเหล็ก ซึ่งถูกดัดแปลงขึ้นภายในบรรจุยาเสพติดประเภทไอซ์ โดยเบื้องต้นพบว่าผู้ที่จัดส่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คน ขณะนี้หลบหนีไปที่ประเทศมาเลเซียแล้ว เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดของกลางและนำตัว นายคม ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

แม่เผย ลูกสาวมาเรียก หลังลูกหายตัวร่วมเดือน ก่อนมาพบเป็นศพคุดคู้อยู่ในท่อ

วันนี้ (23 พ.ย.) ตำรวจ สภ.บ้านโคก และชาวบ้านรวมกว่า 60 คน ปูพรมออกค้นหา น.ส.เสาวลักษณ์ โนนสังข์ หรือต่ายอายุ 23 ปี ที่หายออกจากบ้านเลขที่ 106 หมู่ 8 ต.ดงมูลเหล็ก อ.เมืองเพชรบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 62 พร้อมกับรถจักรยานยนต์ HONDA CLICK สีขาว หมายเลขทะเบียน ขฉข 441 เพชรบูรณ์

โดยเมื่อวานนี้ มีชาวบ้านไปพบรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวที่บ้านร้างไม่มีเลขที่ ในสวนมะขาม หมู่ 6 ต.บ้านโคก เจ้าหน้าที่จึงได้นำชาวบ้านออกค้นหาในวันนี้ จนกระทั่งพบศพ น.ส.เสาวลักษณ์ ในท่อวงที่ใช้ทำบ่อส้วมขนาด 2 วงวางซ้อนกัน มีน้ำขังอยู่ 1 ท่อ โดยวงท่อดังกล่าวมีอยู่ 4 จุดที่บริเวณด้านหลังบ้านร้าง

สภาพศพที่พบนอนคุดคู้อยู่ที่ก้นบ่อ ผิวหนังเปื่อยยุ่ยจนไม่สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานได้ อย่างไรก็ตามเมื่อ นางพยัพ โนนสังข์ อายุ 52 ปี ผู้เป็นมารดามาดูเสื้อผ้า ก็ยืนยันว่าเป็นเสื้อผ้าที่บุตรสาวใส่ในเช้าวันที่หายออกจากบ้านไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำศพส่งไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายที่โรงพยาบาลพุทธชินราชจังหวัดพิษณุโลก

นางพยัพ เล่าว่า น.ส.เสาวลักษณ์ เป็นบุตรคนที่ 2 จากทั้งหมด 4 คน มีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้านานกว่า 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ราว 2 ปี เคยกินยาฆ่าตัวตายแต่ช่วยชีวิตไว้ทัน และไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ต่อเนื่องโดยตลอด

รวมถึงเช้าวันเกิดเหตุ แพทย์ก็ได้นัดให้ไปพบและรับยาเหมือนเคย บุตรสาวจึงบอกว่า จะไปขอเงินนายรวม อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นแฟนหนุ่ม ที่อยู่หมู่บ้านถัดไปราว 5 กม. ก่อนขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไป กระทั่งช่วงใกล้เที่ยงนายรวมได้โทรศัพท์มาสอบถามว่าบุตรสาวยังไม่มาหาเพื่อเอาเงินไปหาหมอเลย ตนจึงออกตามหาจนทั่ว ก่อนที่ในเช้าวันถัดมาจะเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ หลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศตามหาทางช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีการแชร์โพสต์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และสื่อมวลชนเริ่มสนใจช่วยตามหา

นางพยัพ กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าที่ลูกสาวจะหายตัวไปประมาณ 2 วัน ลูกสาวได้ทะเลาะกับแฟนเรื่องที่ลูกสาวจะกลับไปคบกับแฟนเก่า และบอกเลิกกับนายรวม (ผู้ตายเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง) หลังเกิดเหตุนายรวมไม่เคยมาสอบถามอะไรเลย จึงเป็นที่ผิดสังเกต และในช่วงกลางคืนก่อนหน้าที่จะพบศพลูกสาวราว 4-5 วัน ช่วงค่ำ ขณะที่ตนนอนดูทีวีในมุ้งและยังไม่หลับ ได้ยินเสียงลูกสาวเรียกตนเองว่า “แม่” และเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบ้าน ตนรีบลุกมาดูแต่ไม่พบใคร ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ 4-5 คืนต่อเนื่องกัน จึงมีลางสังหรณ์ในใจว่าลูกสาวคงเสียชีวิตไปแล้ว

ขณะนี้ตำรวจระบุว่ายังไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ตายถูกฆาตกรรมหรือไม่ ต้องรอผลผ่าพิสูจน์ก่อน แต่ได้นำตัวผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนแล้ว

ภรรยาพล.ต.ต.รับศพ เผยปมเหตุยิงทนาย-โจทก์ในศาล

จากกรณีที่มีเหตุยิงกันในศาลจังหวัดจันทบุรี โดยผู้เปิดฉากยิงคือ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อายุ 67 ปี ที่ก่อเหตุระหว่างเข้ารับฟังการพิจารณาคดี ภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายคือ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ โจทก์ นายวิจัย สุขรมย์ ทนายโจทก์ เเละ พล.ต.ต.ธานินทร์ ผู้ก่อเหตุเอง ซึ่งได้รับบาดเจ็บเเละเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ล่าสุด วันนี้ (13 พ.ย.) น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท อดีตภรรยาพล.ต.ต.ธารินทร์ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า อดีตสามีของตนและคู่กรณีมีการฟ้องร้องทางแพ่งเกี่ยวกับที่ดินจำนวน 3,800 ไร่ที่ อ.ท่าใหม่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งฟ้องร้องกันมานานกว่า 10 ปี และระยะเวลาในการต่อสู้คดีนั้น มันมีแรงกดดันในหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องของคดีความที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เรียกไปพบ ให้มีการล้มเลิกการต่อสู้คดีความนี้

ทุกครั้งที่มีการขึ้นศาล ก็จะนำเอาชื่อเสียงของพ่อของ พล.ต.ต.ธารินทร์ มาเกี่ยวข้องตลอด ซึ่งท่านไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย จึงทำให้ทะเลาะกันประกอบกับในช่วงเวลานั้น คดีมีความตึงเครียดมาก เลยทำให้ พล.ต.ต.ธารินทร์ รู้สึกเครียด กดดัน และรู้สึกถูกดูหมิ่น คนที่เขาปกป้องมาตลอดชีวิต จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว

ก่อนที่จะก่อเหตุนั้น น.ส.เขมจิรา กล่าวว่า พล.ต.ต.ธารินทร์ ได้บอกกับทุกคนในห้องว่า ใครไม่เกี่ยวให้ออกไป พอกระทำการเสร็จก็นั่งรออยู่ในห้องเพื่อรอการควบคุมตัว “เขาไม่ทำคุณก็ดีแล้ว นายธนากร ธีรวโรดม เสมียนทนายวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว เขาไม่ทำคุณแล้ว แต่คุณเอาปืนมายิงเขาทำไม”

“หยิบปืนมายิงเอง จากด้านนอกยิงผ่านกระจก พล.ต.ต.ธารินทร์ ก็ฟุบลงบนโต๊ะแล้ว แต่ทาง นายธนากร ก็เดินเข้าไปยิงซ้ำอีก ทั้งที่ พล.ต.ต.ธารินทร์ ไม่ได้ยิงออกนอกห้องเลย เพราะเขาไม่ตั้งใจจะทำร้ายใครที่ไม่เกี่ยวข้อง มันแสดงให้เห็นว่า นายธนากร มีเจตนาจะฆ่า พล.ต.ต.ธารินทร์ ให้เสียชีวิต”

น.ส.เขมจิรา ได้ฝากว่าให้มองว่าใครเป็นคนทำอะไรในคดีนี้ คดีนี้เกิดจากอะไร อีกทั้ง การไม่ได้รับความยุติธรรมในคดีที่ยาวนานถึง 8 ปี และตนเองเพิ่งทราบจากทนายความเมื่อเช้า ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการนัดสืบพยาน มีการยื้อแย่งเอกสารกัน เพราะทางฝ่ายโจทก์ไม่ยอมให้ทางฝ่ายตน ดูเอกสาร ทั้งที่ในทางกฎหมายสามารถทำได้ ทำให้เกิดการปะทะ กัน พล.ต.ต.ธารินทร์ จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

“สำหรับเราแล้ว พล.ต.ต.ธารินทร์ ไม่ใช่มือปืน แต่เขาเป็นเหมือนนักสู้ เป็นเหมือน วีรบุรุษที่พลีชีพเพื่อให้ทุกคนออกมาพูดความจริง ทำเพื่อครอบครัว อยากจะขอโทษอดีตสามี ที่ดึงให้มาช่วยดูแลในคดีนี้ ทั้งๆที่เขาก็เกษียณอายุราชการไปแล้ว และสุขภาพก็ไม่แข็งแรง มีครอบครัวใหม่แล้ว”

แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร